ในฐานะนักการตลาด คุณต้องสับสนว่าช่องทางดิจิตอลแบบไหนที่มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน ในการใช้เชื่อมต่อและสร้างส่วนร่วมกับลูกค้าของธุรกิจหรือแบรนด์นั้นๆ
ผลตอบแทน (ROI) จะต้องสูงพอที่จะคุ้มค่าต่อการลงทุน ดังนั้น คุณต้องมีการตลาดบนมือถือที่มีประสิทธิภาพ คุณจะเลือกที่จะใช้ SMS แบบเดิมๆ และส่งอีเมล หรือว่าเลือกที่จะใช้ Push Notification ดีหล่ะ
นี่เป็นตารางเปรียบเทียบเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะเลือกวิธีใดทำการตลาดบนมือถือ
ตัวแปร | SMS/Text message | Push notification | |
---|---|---|---|
ความรวดเร็วในการเข้าถึง | ช้า | ทันที (ถ้าเปิดมือถือ) | ทันที (ถ้าเปิดมือถือ) |
ค่าเฉลี่ยในการเปิดดูข้อความ | 23% (ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ) | 90% | 90% |
ค่าใช้จ่าย | ปานกลาง | สูง | ต่ำ |
ระบุตัวตนผู้ส่งได้ | ชัดเจน | ส่วนมากไม่ชัดเจน | ชัดเจน |
การมีส่วนร่วม | ปานกลาง (ถ้ามีการใส่ลิงค์) | ปานกลาง (ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจท้องถิ่น) | สูง |
ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย | ปานกลาง | สูง | ปานกลาง |
ความเป็นไปได้ในการเข้าถึง | ต่ำ | สูง | สูง |
การจัดการเฉพาะบุคคล | ปานกลาง | ปานกลาง | สูง |
การเก็บบันทึก | สูง | ปานกลาง | ปานกลาง (ขึ้นอยู่การกับตั้งค่า) |
ปริมาณข้อความขยะ | สูง (75% จากข้อความทั้งหมด) | สูง (75% จากข้อความทั้งหมด) | ต่ำ |
ความน่าจะเป็นที่จะมีไวรัส | สูง | ต่ำ | ต่ำ |
ปริมาณข้อมูล | ไม่จำกัด | น้อย (มีการจำกัด) | น้อย (มีการจำกัด) |
ภาพประกอบ | มี | ส่วนมากไม่มี | ส่วนมากไม่มี |
รับข้อเสนอแนะได้ | ได้ | ได้ (ถ้ามีการระบุผู้ส่ง) | ได้ (ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า) |
กวนใจผู้ใช้งาน | ปานกลาง | สูง | ปานกลาง (ถ้าปิดเสียงเตือน) |
อัตราที่ผู้รับเลือกไม่สนใจ | 20-50% (ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ) | 60% | 40% |
แม้ว่าอีเมลและ SMS นั้นจะใช้กันครอบคลุมมากว่า เช่น ถ้าคุณมีอีเมล หรือเบอร์โทรศัพท์ของคนคนหนึ่ง คุณจะสามารถติดต่อกับเขาได้เลยทันที แต่เขาจะรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นส่วนตัว แม้ว่าแอพนั้น เขาจะต้องดาวน์โหลดแล้วเปิดมันขึ้นมา เขาก็ยังรู้สึกว่ามันมีประโยชน์มากกว่าช่องทางสื่อสารทางอื่น
อีเมลนั้น มักจะมี Malware แพร่ระบาดอยู่มาก หากคุณทำการตลาดทางอีเมลแล้วใส่ข้อมูลมากเกินไป มันจะดูน่าเบื่อและดูไร้ค่าต่อลูกค้า
ผู้คนมักจะใช้เวลาเชคอีเมลเพียงแค่วันละ 20 นาทีเท่านั้น แต่ใช้มือถือกันถึงวันละ 16 ชั่วโมง คูปองส่วนลดที่ส่งทางอีเมลนั้นจึงมีแค่เพียง 1% ขณะที่มีการส่งทาง SMS 15-20% และทาง Push Notification นั้นสูงถึง 30%
การส่งข้อความอาจจะดูเหมือนกับการส่งข้อความแจ้งเตือน แต่จริงๆ แล้วมันแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างหนึ่งก็คือ การส่ง SMS นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และอาจจะมีค่าใช้จ่ายทางฝั่งลูกค้าด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบ SMS กับข้อความในอีเมลก็ยังด้อยกว่า เนื่องจาก SMS นั้นจำกันปริมาณข้อความและรูปภาพ
ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการส่งข้อความแจ้งเตือนเองได้และรู้ว่าส่งมาจากใคร หรือ Brand ไหน ในขณะที่ SMS นั้นอาจจะทิ้งคำถามให้รับผู้รับได้ว่า ใครเป็นคนส่งข้อความมา แล้วได้เบอร์โทรศัพท์มาได้อย่างไร
Push Notification ยังมีอัตราของปริมาณในการมีส่วนร่วมจากผู้รับข้อความมากว่า SMS หรืออีเมล เพราะด้วยความต่อเนื่องของการใช้งานแอพที่สามารถออกแบบให้ใช้งานง่าย รับคำติชมได้ ส่วนอีเมลที่มีลิงค์นั้นจะใช้ได้ดีหากผู้ใช้งานใช้กับคอมพิวเตอร์เพราะบางเว็บไซต์ยังไม่รองรับการใช้งานบนมือถือ ส่วน SMS นั้นเหมาะกับธุรกิจท้องถิ่นที่มีโปรโมชั่นเฉพาะเทศกาล แต่ถ้าเป็นธุรกิจต่างถิ่นหรือลูกค้าไม่ได้ลงทะเบียนรับมูลไว้ การมีส่วนร่วมจาก SMS นั้นแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว
มันก็ถูกต้องที่ว่าการส่งข้อความทั้งสามแบบนี้สามารถส่งไปยังผู้รับกลุ่มใหญ่ๆ ได้เหมือนกัน แต่แอพมือถือสามารถรวบรวมข้อมูลผู้ใช้งาน ประวัติการใช้งาน บันทึกข้อมูล และทำกิจกรรมทางออนไลน์ได้ ดังนั้น การแจ้งเตือนในแอพจึงสามารถจัดการเฉพาะบุคคลได้ดีกว่าอีเมลหรือ SMS สิ่งนี้ทำให้ทั้ง brand มีประสบการณ์ที่ดีและมีคุณค่า
ผู้เขียนบทความนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าอีเมลหรือ SMS นั้นไม่มีประสิทธิภาพต่อการตลาดในยุคใหม่นี้ มันยังคงมีพลังและครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้ดี อีเมลมันสามารถใส่รูปภาพและข้อความได้ดีกว่า ขณะที่ SMS นั้นเข้าถึงคนทั่วไปได้มากกว่าและเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ยังไม่ได้ดาวน์โหลดแอพ
Push Notification นั้นใช้ได้กับผู้รับที่มี Smartphone เท่านั้น และคุณจะต้องมีแอพมือถือก่อนถึงจะส่งข้อความได้ อย่างไรก็ตาม ข้อดีของ Push Notification นั้นก็มีมาก ทั้งค่าใช้จ่ายน้อย ดึงดูดความสนใจผู้คนได้มาก ความเร็วในการส่งข้อความสูง ด้วยข้อดีเหล่านี้ คุณควรจะพิจารณาว่าควรจะปรับกลยุทธ์ทางการตลาดด้วยแอพมือถือหรือไม่